นพ.สุชาติ เหตุทอง
"หมอที่ดี ต้องไม่ล้าสมัย ต้องปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ เพราะจะช่วยให้เราทำงานได้สะดวกและสร้างประโยชน์ให้กับคนไข้ได้มากขึ้น"
หลังจาก นพ.สุชาติ เหตุทอง สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี 2543 และมีประสบการณ์ตรงในการตรวจดูแลรักษาคนไข้มาระยะหนึ่งแล้ว คุณหมอจึงได้ศึกษาต่อวุฒิบัตรอายุรศาสตร์ ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณหมอได้เล่าถึงแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการศึกษาว่า…
“หมอเป็นเด็กต่างจังหวัด คุณพ่อคุณแม่เป็นเกษตรกร ความใฝ่ฝันสูงสุดในวัยเด็กนั้นก็คือการได้เป็นหมอ อยากมีวิชาความรู้ที่สามารถดูแลช่วยเหลือคน ดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนรอบข้าง ด้วยเหตุนี้หมอจึงความมุ่งมั่นตั้งใจและขยันเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้สอบเทียบได้ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมฯ 5 แล้วก็สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้”
หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอได้ไปเป็นแพทย์ใช้ทุนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนนั้นก็ได้ดูแลรักษาคนไข้มากมาย ซึ่งทำให้ค้นพบว่าเราชอบและเหมาะกับการเป็นแพทย์ด้านอายุรกรรม เพราะรู้สึกว่าสามารถดูแลคนไข้ได้ค่อนข้างครอบคลุม และหมอก็มีความถนัดในการวินิจฉัยโรคและดูแลรักษาคนไข้ด้วยการใช้ยามากกว่าการทำหัตถการ เลยคิดว่าอายุรกรรมคือสาขาที่ตอบโจทย์ได้ตรงที่สุด”
ด่านแรกของการดูแลรักษาคนไข้ในแผนกอายุกรรม
การรักษาโรคด้านอายุรกรรมโดยอายุรแพทย์ หัวใจสำคัญคือการวินิจฉัยโรคอย่างรอบด้าน เพื่อการใช้ยารักษา รวมถึงการให้คำแนะนำคนไข้เกี่ยวกับการป้องกันและฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพื่อไม่ให้คนไข้ต้องไปถึงจุดที่เป็นโรคร้ายแรงหรือมีอาการหนักขึ้น คนไข้ส่วนใหญ่ที่คุณหมอสุชาติ ดูแลรักษา จะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต น้ำตาลในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน ไขมันสูง และมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ซึ่งพบมาก และนอกจากการรักษาโรคแล้ว คุณหมอยังดูแลไปถึงการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนอีกด้วย…
“อายุรแพทย์จะเป็นเหมือน primary sector ที่ดูแลคนไข้ทั่วไปก่อนจะส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทางในเคสที่ประเมินพบโรคที่บ่งชัดและจำเป็นต้องทำหัตถการ หรือดูแลรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ปัจจุบันเราพบว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีความดันโลหิตสูงเริ่มเกิดในคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ คือประมาณ 30 กว่าก็พบมากขึ้นแล้ว คนไข้แผนกนี้จึงไม่มีแค่ผู้สูงอายุเท่านั้น อายุรแพทย์จึงเป็นเหมือนหน้าด่านในการวินิจฉัย ประเมินโรค ทำการรักษาด้วยยา และให้คำแนะนำคนไข้กลุ่มนี้ตั้งแต่เริ่มพบความเสี่ยงหรือพบโรค เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ไปสู่ภาวะรุนแรงของโรคหรือกลายเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังเมื่ออายุมากขึ้นในที่สุด”
คุณลักษณะที่โดดเด่นของอายุรแพทย์
ในวงการแพทย์ มีคำกล่าวที่ว่า “หากคิดอะไรไม่ออกบอกหมอ Med” นั่นหมายถึงว่า อายุรแพทย์มักจะเป็นผู้มีความรู้รอบด้านครอบคลุมไม่ตกยุค ซึ่งคุณหมอสุชาติ ก็เป็นหนึ่งในอายุรแพทย์ที่มีพื้นฐานความรู้ที่รอบด้าน ด้วยเป็นผู้รักการอ่าน และรักการเป็นอายุรแพทย์ ดังนั้น นอกจากองค์ความรู้ที่เคยศึกษาเล่าเรียนมา คุณหมอยังหมั่นค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ เพื่ออัปเดตการรักษาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา…
“หมอมีคนไข้เก่าๆ ค่อนข้างเยอะ การที่เขาให้เราดูแลมาเป็นสิบๆ ปี และดูแลกันแบบประจำทั้งครอบครัวก็เพราะเขาไว้เนื้อเชื่อใจเรา เราก็ต้องให้ความใส่ใจดูแลเขาเสมือนเป็นคนในครอบครัว บางทีไม่ว่าคนไข้จะไปพบหมอเฉพาะทางแผนกไหนมา สุดท้ายเขาก็มักกลับมาปรึกษาอายุรแพทย์ด้วยเสมอ แม้แต่ในช่วงโควิดระบาด คนไข้ก็ยังมาปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีน ซึ่งก็จะมีทุกวัย ทั้งคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ และหนุ่มสาววัยทำงาน ซึ่งหมอก็จะให้คำแนะนำ และรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้ทุกช่วงอายุ ซึ่งตรงกับเจตนารมย์ของหมอที่อยากจะช่วยเหลือคนไข้ทุกคน ให้เสมือนการดูแลญาติพี่น้อง และครอบครัวของเราเอง ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่อายุรแพทย์ต้องมี ก็คือการอัปเดตความรู้ใหม่ๆ เพื่อให้เราสามารถดูแลคนไข้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
เทคโนโลยีและข้อมูลที่ดี ช่วยให้การวินิจฉัยตรงจุด
ปัจจุบัน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนในการตรวจและวินิจฉัยโรคนั้น มีความก้าวหน้าขึ้นมาก โดยเฉพาะด้านข้อมูลของคนไข้ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่ง การสืบค้นข้อมูลคนไข้ได้รวดเร็วด้วยระบบดิจิทัล ออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์ก็ตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการมีโปรแกรม up-to-date ที่สามารถให้แพทย์คลิกหาข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่มีความสงสัยหรือต้องการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ทันที…
“หมอที่ดี ต้องไม่ล้าสมัย ต้องปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ เพราะจะช่วยให้เราทำงานได้สะดวกและสร้างประโยชน์ให้กับคนไข้ได้มากขึ้น เราต้องอัปเดตองค์ความรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเราคือด่านหน้าในการดูแลคนไข้ในกลุ่มโรคต่างๆ การได้ดูแลคนไข้ไม่ให้เจ็บป่วยรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการมองภาพแบบองค์รวมของคนไข้ในแต่ละคน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า ซึ่งเป็นเหมือนแรงพลังผลักดันให้เรามีกำลังใจมาปฏิบัติงานในแต่ละวัน”