‘นอนกรน’ อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปของร่างกายที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย แต่รู้หรือไม่ การกรนนั้นอันตรายกว่าที่คิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว การนอนกรนเป็นปัญหาที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพทั้งตัวผู้กรน และผู้ที่อาศัยด้วยในระยะยาวได้
‘อาการนอนกรน’ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
อาการนอนกรน เกิดจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนมีการตีบแคบลง เนื่องจากการหย่อนตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อเพดานอ่อน คอหอย และลิ้นในขณะหลับ มักเกิดขึ้นในช่วงของการหลับลึก และจะกรนดังมากขึ้นเมื่ออยู่ในท่านอนหงาย หากมีอาการมากจะมีอาการนอนกรนในทุกท่านอน
การกรน…อันตรายมากกว่าที่คิด
การกรนที่อันตราย คือ การกรนที่มีภาวะการหายใจติดขัดหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จนร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้หลับไม่ลึก หัวใจทำงานหนัก เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองตีบ ทั้งยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุล มีอาการง่วงเพลียตอนกลางวัน อารมณ์แปรปรวน และปัญหาสุขภาพอีกมากมาย ซึ่งหากผู้ป่วยเป็นเด็กที่นอนกรนจะส่งผลต่อพัฒนาการทั้งร่างกาย อารมณ์ การเรียนรู้ และสติปัญญา จะเห็นได้ว่าการนอนกรนนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด ดังนั้นหากรู้ตัวว่านอนกรนหรือมีคนในครอบครัวนอนกรน ควรเข้ารับการตรวจเช็กว่าอาการนอนกรนของเราอันตรายหรือไม่ เพื่อประเมินความเสี่ยง และดูแลรักษาต่อไป
สังเกตอาการ…เมื่อไหร่ที่ต้องพบแพทย์
- นอนกรนดังมากเป็นประจำ
- กรนสลับหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
- อาการเหมือนหายใจไม่ออก และเหมือนสำลักน้ำลายขณะหลับ
- นอนกัดฟัน
- ตื่นมาตอนเช้าไม่สดชื่น รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม
- มึนศีรษะในตอนเช้าเป็นประจำ
- ปากแห้ง คอแห้ง รู้สึกเจ็บคอเมื่อตื่นขึ้นมา
- อ่อนเพลีย ง่วงนอนมากผิดปกติในตอนกลางวัน
- ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มีผลต่อการตัดสินใจ
การวินิจฉัย
แพทย์จะทำการซักประวัติ และทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้น โดยอาจพิจารณาให้ผู้เข้ารับการรักษาทดสอบการนอนหลับ (Sleep Test) ร่วมด้วย เพื่อให้ทราบว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยหรือไม่
Sleep Test สามารถหาสาเหตุความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการนอน ได้ โดยจะติดตามการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกาย เช่น คลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด ตรวจจับสัญญาณการขยายตัวของปอด และท้อง วัดลมหายใจเข้าออก วัดระดับเสียงกรน
รวมทั้งประเมินความรุนแรงของโรค เพื่อนำข้อมูลมาวินิจฉัย และพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การรักษาภาวะนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
1. รักษาโดยไม่ผ่าตัด
- เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก, ปรับท่านอนเป็นนอนตะแคง, เข้านอนให้เป็นเวลา, งดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น ยานอนหลับ, ยาแก้แพ้ ชนิดที่ทำให้ง่วง เป็นต้น
- ใส่เครื่องมือในช่องปาก เพื่อป้องกันลิ้นตกอุดกั้นทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่รุนแรง
- ใช้เครื่องช่วยหายใจขณะนอนหลับที่เรียกว่า (CPAP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง
- การใช้ยา ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก และมีปัญหาที่โพรงจมูกตีบแคบ ภูมิแพ้ อาจพิจารณารักษาโดยการให้ยาก่อน
2. รักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษาอาการนอนกรนด้วยการผ่าตัด เป็นการเพิ่มขนาดทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างขึ้น และแก้ไขความผิดปกติของร่างกาย โดยการรักษาด้วยการผ่าตัดนั้นจะขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหา อาการ และความรุนแรงของแต่ละบุคคล ซึ่งมีหลายรูปแบบมาก ได้แก่
- การผ่าตัดจมูกโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงจี้จมูก เพื่อให้จมูกยุบบวมลง
- การผ่าตัดผนังกั้นจมูกที่คด
- การผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออก
- การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน
- การผ่าตัดโคนลิ้น
- การผ่าตัดขากรรไกร
การนอนกรนเป็นปัญหาสุขภาพที่มักถูกละเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการกรนไม่ใช่แค่ส่งผลเสียต่อผู้กรน แต่ยังส่งผลต่อผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกันด้วย ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ดังนั้นหากสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตัวเองแล้วสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดอาจมีความเสี่ยงภาวะนอนกรนผิดปกติ อาจถึงเวลาที่ต้องปรึกษาแพทย์ และทดสอบการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อประเมินความเสี่ยง และความรุนแรงของอาการ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป