หัวใจโตแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โตจากกล้ามเนื้อที่หนาตัวจากการที่หัวใจทำงานหนักหรือบีบตัวมากในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือลิ้นหัวใจตีบ กับเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี ทำให้มีเลือดคั่งค้างในห้องหัวใจมาก
หัวใจโต (Enlarged heart หรือ Cardiomegaly)
1. หัวใจโตจากกล้ามเนื้อที่หนาตัวกว่าปกติ
หัวใจโตแบบนี้ ให้ลองนึกภาพคนเล่นกล้ามหรือนักเพาะกายที่มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนทั่วไป โดยเป็นการใหญ่ขึ้นเพราะกล้ามเนื้อทำงานหนัก ซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจก็เช่นกัน หากต้องทำงานหนัก บีบตัวมากๆ เช่น ในกรณีความดันโลหิตสูงหรือลิ้นหัวใจตีบ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนหนาตัวขึ้นได้
2. หัวใจโตเพราะกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี
กรณีนี้ทำให้มีเลือดคั่งค้างในห้องหัวใจมาก คล้ายลูกโป่งใส่น้ำ หัวใจจึงมีขนาดโตขึ้น
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจโต เช่น ความดันโลหิตสูง ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว หัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีโรคของกล้ามเนื้อหัวใจที่หนากว่าปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือโรคหัวใจโตจากแอลกอฮอล์ก็เป็นสาเหตุหนึ่งได้เช่นกัน
หัวใจโตมีอาการอย่างไร?
ผู้ที่หัวใจโตส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาการ หากหัวใจยังทำงานปกติ แต่หากหัวใจทำงานผิดปกติเมื่อไหร่จะเกิดอาการต่างๆ ได้แก่
- หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- หายใจเร็ว
- เวียนศีรษะ อ่อนเพลียง่าย
- ใจสั่น
- บวมบริเวณเท้าตอนสายๆ
- ไอ โดยเฉพาะเวลานอน
- นอนราบไม่ได้เนื่องจากแน่หน้าอก
สาเหตุที่ทำให้หัวใจโต
- ความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงที่เป็นอย่างต่อเนื่องทำให้หัวใจต้องทำงานหนักจึงทำให้หัวใจโต
- โรคลิ้นหัวใจ ไม่ว่าจะลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว หรือมีการอักเสบติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ
- โรคของกล้ามเนื้อหัวใจเอง ที่เรียกว่า Cardiomyopathy เช่น ผู้ที่ี่ดื่มสุราเป็นเวลานานกล้ามเนื้อหัวใจจะถูกทำลาย ทำให้หัวใจโต
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เช่น ผนังหัวใจรั่ว
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
- ผู้ที่เป็นโรคความดันในปอดสูง
- ผู้ที่มีโลหิตจาง หรือซีดเป็นเวลานาน
- โรคของต่อมไทรอยด์
- ได้รับธาตุเหล็กมากไป จะมีการสะสมธาตุเหล็ก จนเกิดโรค Hemochromatosis
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับโปรตีน ทำให้มีการสะสมโปรตีนในกล้ามเนื้อหัวใจที่เรียกว่า Amyloidosis
จะป้องกันหัวใจโตได้อย่างไร?
การป้องกันหัวใจโตจะต้องป้องกันที่สาเหตุ คือดูแลไม่ให้เกิดโรคที่ทำให้หัวใจโต โดยมีแนวทางการป้องกันดังนี้
- สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง เช่น อ้วน ไม่ออกกำลังกาย มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดโอกาสในการเกิดความดันโลหิตสูง สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงแล้วจะต้องรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งโดยเคร่งครัด
- สำหรับผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมจะหลีกเลี่ยงยาก ดังนั้น หากมีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์
- รักษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การตรวจเพื่อหาสาเหตุของหัวใจโต
- การตรวจรังสีปอดและหัวใจจะบอกได้ว่าหัวใจโตหรือไม่ แต่ไม่สามารถบอกถึงสาเหตุของหัวใจโต
- คลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะวัดได้ว่าหัวใจเต้นผิดปกติหรือไม่ และกล้ามเนื้อหัวใจหนาหรือไม่
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง จะบอกได้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจหนาหรือไม่ การบีบตัวของหัวใจเป็นอย่างไร ทั้งยังสามารถดูลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่
- การตรวจ Computer Scan จะให้รายละเอียดภาพของหัวใจค่อนข้างมาก
- การเจาะเลือดตรวจ
- ในรายที่จำเป็นอาจจะต้องฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ อาจจะจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อหัวใจส่งตรวจเพิ่มเติม
การรักษาหัวใจโต
การรักษาหัวใจโตจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาต้นเหตุ แต่หากผู้ป่วยเกิดอาการก็จำเป็นต้องได้รับยาเพื่อรักษาอาการเช่นกัน ยาที่นิยมใช้ ได้แก่
- ยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ยาที่สามารถเลือกใช้ได้แก่ furosemide, spironolactone, hydrochlorothaizide ใช้ในกรณีที่มีอาการบวม และมีอาการของหัวใจวาย
- Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors ใช้ลดความดันโลหิตและรักษาอาการหัวใจวาย
- Angiotensin receptor blockers (ARBs) ใช้ลดความดันและรักษาอาการหัวใจวาย
- Beta blockers ใช้ลดความดันและอาการหัวใจวาย
- Digoxin ใช้รักษากรณีที่มีการเต้นของหัวใจผิดปกติที่การรักษาต้นเหตุ แต่หากผู้ป่วยเกิดอาการก็จำเป็นต้องได้ยาเพื่อรักษาอาการ
การรักษาอื่นๆ ที่อาจมีความจำเป็นกับอาการหัวใจโต
- สำหรับผู้ที่หัวใจเต้นผิดปกติ อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจ
- การผ่าตัด โดยเฉพาะผู้ที่มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจ
- การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมอาการหัวใจโต
- หยุดสูบบุหรี่
- ลดน้ำหนัก
- รับประทานอาหารจืด แทนอาหารรสจัด
- ควบคุมน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวาน
- ควบคุมความดันโลหิตให้เหมาะสม
- ออกกำลังกายให้เพียงพอ
- นอนหลับพักอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง