โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

หูชั้นใน ประกอบด้วยระบบการทรงตัว และระบบการได้ยินที่อยู่ติดกัน ในระบบนี้มีน้ำอยู่ภายใน แต่ถ้ามีความผิดปกติใด ๆ ก็ตามที่ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มมากผิดปกติ ก็จะทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก ขัดขวางการทำงานของกระแสประสาททั้งการได้ยิน และการทรงตัว ก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะทรงตัวไม่ดี สูญเสียการได้ยิน และตึง ๆ หน่วง ๆ ในหูข้างนั้น

โรคน้ำในหูชั้นในไม่เท่ากันหรือโรคเมเนียร์ (Meniere’s disease) พบค่อนข้างบ่อย เป็นโรคที่พบอันดับสองของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ มักเป็นหูข้างใดข้างหนึ่งก่อน และมีประมาณ 15-20% ที่เป็นหูทั้งสองข้าง

อาการของโรค

  1. อาการเวียนศีรษะ มักจะเกิดขึ้นฉับพลันนานเกินกว่า 20 นาที (บางรายอาจเป็นนานหลายชั่วโมง) แต่ไม่ทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียน
  2. การได้ยินลดลง ขณะมีอาการเวียนศีรษะ ซึ่งระยะแรกอาจเป็นๆ หายๆ แต่อาการจะดีขึ้น เมื่ออาการเวียนศีรษะหายไป แต่ถ้าเป็นซ้ำติดต่อกันหลายครั้ง การได้ยินมักจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนหูตึงได้
  3. หูอื้อ เสียงดังในหู จะเกิดขึ้นในหูข้างที่ผิดปกติ อาจเป็นตลอดเวลาหรือเฉพาะเวลาเวียนศีรษะก็ได้
  4. อาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู คล้ายมีแรงดันในหู บางคนอาจบอกว่าปวดหน่วง ๆ ความถี่ของการเกิดอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นปีละครั้ง บางคนเป็นหลาย ๆ เดือนครั้ง

กลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

  1. กรรมพันธุ์ มีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด
  2. โรคภูมิแพ้
  3. การติดเชื้อไวรัส, หูชั้นกลางอักเสบ, หูน้ำหนวก, ซิฟิลิส
  4. ประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ
  5. โรคทางกาย เช่น เบาหวาน, ไทรอยด์, ไขมันในเลือดสูง

การวินิจฉัย

การซักประวัติอย่างละเอียด และการตรวจร่างกายมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค แม้คนไข้จะมาพบแพทย์ด้วยอาการที่เข้าข่าย แต่มักพบว่า 50% เท่านั้นที่มีอาการเด่นชัด ซึ่งในกรณีที่อาการไม่ชัดเจน ก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้

  1. การตรวจการได้ยิน (Audiogram)
  2. การตรวจการทรงตัว (Electrony stagmography ; ENG)
    – เพื่อดูว่าเป็นหูข้างใด ที่มีพยาธิสภาพ
    – ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
    – แยกโรคจากเวียนศีรษะที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง
    – พบว่า 50% ของผู้ป่วยน้ำในหูชั้นใน ไม่เท่ากัน มีความผิดปกติของการตรวจนี้
  3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าในหูชั้นใน (Electro cochleography; ECOG) เป็นการวัดการได้ยินระดับหูชั้นใน พบว่า มีความไว 65-70% ในการ ตรวจพบความผิดปกติของคนไข้ แต่มีความเฉพาะเจาะจงสูง (Specificity) 95% คือถ้าตรวจออกมาได้ผลบวก ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นโรคนี้
  4. การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response; ABR) เป็นการวัดการได้ยินระดับก้านสมอง เพื่อแยก โรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทการได้ยินหลังหูชั้นใน เข้าไปอีก เช่น การตรวจหาเนื้องอกที่ประสาทการ ได้ยิน
  5. การทำ MRI หรือ CT-Scan สมอง และหูชั้นใน มักไม่จำเป็นในการวินิจฉัย แต่อาจใช้กรณีช่วยแยกโรคที่สงสัยว่าเกิดจากเนื้องอกที่เส้นประสาทการได้ยินหรือการทรงตัว

การรักษา

  1. การปฏิบัติตัว
    – ขณะมีอาการควรหลีกเลี่ยงการขับรถ, การยืนที่สูง
    – พักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอนมักกระตุ้นให้มีอาการ
    – งดอาหารเค็ม
    – พยายามลดความเครียด
    – งดเหล้า, บุหรี่, ชา, กาแฟ
    – หลีกเลี่ยงเสียงดังมาก ๆ
    – การบริหารประสาทการทรงตัว จะทำให้สมองปรับตัวเร็วขึ้น
  2. การให้ยา 80% จะหายได้ด้วยการให้ยา ได้แก่
    – ยาขับปัสสาวะ
    – ยาขยายหลอดเลือด
    – ยาแก้อาการเวียนศีรษะ
    – ยาแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน
    – ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ
  3. การฉีดยา Gentamicin เข้าหูชั้นกลาง เพื่อให้ซึมเข้าหูชั้นใน เพื่อควบคุมอาการ เวียนศีรษะ ใช้ในกรณีที่กินยาไม่ได้ และยังเวียน ศีรษะอยู่
  4. การผ่าตัด ใช้ในกรณีคนไข้มีอาการมาก และรักษาวิธีการใช้ยาข้างต้นไม่ได้ผล

แผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เปิดบริการสำหรับตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหู คอ จมูก และกล่องเสียง โดยแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก และกล่องเสียง มีเครื่องมือที่ทันสมัย ส่องเห็นรอยโรคในขณะตรวจด้วยตาของคุณเอง ทำให้เข้าใจในขณะที่แพทย์อธิบายถึงพยาธิสภาพ และแนวทางการรักษาได้อย่างชัดเจน รวมทั้งการรักษาที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การตรวจหาความผิดปกติของการได้ยินด้วยเครื่องมือพิเศษ การผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเยื่อแก้วหู การผ่าตัดในภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง การรักษาโรคริดสีดวงจมูก และภูมิแพ้ การผ่าตัดรักษาอาการเสียงแหบ การผ่าตัดรักษาโรคไทรอยด์ และมะเร็งของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดมะเร็งของกล่องเสียง คอ และช่องปาก


ปรึกษาแพทย์


    Related Health Blogs

    Related Doctors