มีวิธีการรักษาที่สามารถทำให้คนไข้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้อย่างมีความสุข และปลอดภัย
เมื่อรู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตจนถึงขั้นไตวายเรื้อรังแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะรู้สึกท้อแท้ ถอดใจ และสิ้นหวัง แต่ในทางการแพทย์นั้น ยังมีวิธีการดูแลรักษาไตให้คนไข้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยหนึ่งในแนวทางการรักษาทดแทนไต หรือ Renal Replacement Therapy ที่ให้ผลดี นั้นก็คือ “การฟอกเลือด” ซึ่งหากผู้ป่วย และคนใกล้ชิด ศึกษา และทำความเข้าใจหลักการของการฟอกเลือดเป็นอย่างดี ก็จะยิ่งช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หลักสำคัญที่ต้องรู้ เพื่อการฟอกเลือดที่มีประสิทธิภาพ
- ทำความเข้าใจ : ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และคนใกล้ชิด ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไตวายเรื้อรัง เป็นภาวะไตเสื่อมจนไม่สามารถทำงานได้ ต้องอาศัยการรักษาที่ทำงานทดแทนไต จึงหมายความว่า จะต้องฟอกเลือดไปตลอดชีวิต ไม่สามารถหยุดฟอกได้ แต่การฟอกเลือดนั้น จะทำให้คนไข้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และอื่น ๆ ที่เป็นผลจากภาวะไตวาย หากต้องการหยุดฟอกเลือด และอยากหายจากอาการไตเสื่อม จะต้องใช้วิธีปลูกถ่ายเปลี่ยนไต สร้างไตใหม่มาทดแทนเท่านั้น
- การฟอกเลือดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด : เพราะเป็นการนอนเฉย ๆ เพื่อนำเอาเลือดออกจากร่างกายไปทำความสะอาดเอาของเสียออก ปรับเกลือแร่ และน้ำส่วนเกินให้สมดุล จากนั้นนำเลือดที่ฟอกสะอาดแล้วกลับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งการฟอกเลือดที่ดีนั้น จะต้องทำตามนัดแพทย์อย่างเคร่งครัด ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงต่อครั้ง หากทำได้ตามนี้ ก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติ
อาการแบบไหน เป็นสัญญาณเตือนต้องเริ่มฟอกเลือดได้แล้ว?
กลุ่มที่ 1 คนไข้ที่ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเป็นโรคไตอยู่ แต่มีอาการ ดังนี้
- ตื่นปัสสาวะกลางดึกบ่อย ๆ
- ปัสสาวะเป็นฟองมาก และติดต่อกันมาเป็นแรมปี
- อาการหอบ เหนื่อย เพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วยมาเป็นเวลานาน
แม้อายุจะไม่มาก แต่หากมีอาการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นไปได้ว่าไตได้เสื่อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจต้องเข้ารับการฟอกเลือด
กลุ่มที่ 2 คนไข้ที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว และค่อย ๆ เสื่อมไปเรื่อย ๆ โดยอาการส่วนใหญ่ของคนไข้โรคไตที่บ่งบอกว่า ถึงเวลาต้องฟอกเลือดแล้วนั้น ได้แก่
- บวม
- เหนื่อย
- มีภาวะน้ำท่วมปอด
- มีภาวะของเสียคั่งที่สูงถึงขั้นวิกฤต แม้คนไข้หลาย ๆ คนจะรู้สึกว่า ยังปัสสาวะออกอยู่ ไตคงยังไม่น่าถึงขั้นวิกฤต แต่ในความเป็นจริง หากพบว่ามีอาการบวมมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น และมีภาวะน้ำท่วมปอด นั่นหมายความว่า ไตเริ่มทำงานไม่ได้แล้ว ค่าของเสียในเลือดจะค่อย ๆ สูงขึ้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้สูงต่อไปโดยไม่ฟอกเลือด คนไข้จะมีอาการอาเจียน คลื่นไส้ ซึม ง่วง อ่อนเพลีย และพะอืดพะอม และอาจถึงขั้นเกิดอาการชักได้เลย เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรือเกิดภาวะเลือดเป็นกรด อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ทั้งนี้ อาการเกลือแร่ที่ผิดปกติ และเลือดเป็นกรดนี้ มักจะมาพร้อมกับค่าของเสียในไตที่พุ่งสูงขึ้นความดันโลหิตสูงมากผิดปกติ เป็นผลมาจากอาการบวมน้ำ เนื่องจากเมื่อน้ำ และเกลือแร่ส่วนเกินล้นอยู่ในระบบร่างกายมากๆ ความดันโลหิตจึงสูงขึ้นแบบผิดสังเกต โดยจากปกติอาจอยู่ในระดับ 140-160 ก็จะกลายเป็น 200 หรือมากกว่าได้เลย ซึ่งหากพบว่าความดันโลหิตสูงมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการบวม เหนื่อย ร่วมด้วย ก็ชวนสงสัยได้ว่า ไตเสื่อมสภาพถึงขั้นที่ควรต้องฟอกเลือดแล้ว
การฟอกเลือดแบบออนไลน์ ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า
นอกจากการฟอกเลือดตามมาตรฐานด้วยวิธี Conventional Hemodialysis แล้ว ยังมีการฟอกเลือดอีกวิธีซึ่งเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่า ได้แก่วิธี Online-Hemodiafiltration หรือเรียกสั้นๆ ว่า “การฟอกเลือดแบบออนไลน์” ข้อดี คือ สามารถนำเอาของเสียออกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ลดการอักเสบ และการเสื่อมของหลอดเลือดได้ดี ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดลง จากสถิติพบว่าผู้ป่วยโรคไตมักจะเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากนี้ยังทำให้ผิวไม่ดำคล้ำ หรือที่คุ้นหูกันดีว่า “ฟอกไตตัวไม่ดำ” เพราะการฟอกเลือดแบบ Online-Hemodiafiltration จะนำเอาของเสียออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ทำให้ผิวของคนไข้ฟอกไตคล้ำดำเหมือนกับการฟอกด้วยวิธีแบบมาตรฐาน ทั้งนี้ คำว่า Online ในชื่อวิธีการฟอกเลือดนั้น หมายถึง ข้อมูลของคนไข้ จะขึ้นแสดงบนหน้าจอในขณะที่แพทย์ทำการฟอกเลือดทั้งหมด ทำให้แพทย์สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น แม่นยำ มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โรคไตวายเรื้อรัง มีทางรักษา และผู้ป่วยก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว โดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ขอเพียงแค่อย่าเพิ่งสิ้นหวัง และเข้ามารับการรักษาด้วยการฟอกเลือดอย่างถูกวิธี ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนไข้กลับมามีกำลังใจได้อีกครั้ง คือการเปิดใจ รับฟังคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึงญาติผู้ป่วยก็จำเป็นต้องคอยเป็นกำลังใจ อยู่เคียงข้างเพื่อดูแลให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และถูกวิธี เพื่อให้คนไข้สามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีความสุข อยู่ต่อไปได้อย่างที่ใจต้องการ