ปัญหาน้ำหนักตัวเกินในผู้ที่อ้วนมากๆ เมื่อใช้การลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆ แล้วไม่ได้ผล ก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง นั่นก็คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งปัจจุบันก็มีมากมายหลายวิธี แต่ที่ได้รับนิยมมากที่สุดจะเป็นการผ่าตัด 2 วิธีนี้ คือ
- การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Sleeve Gastretomy)
- การผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส (Roux-en Y Gastric bypass)
เพราะนอกจากจะเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักได้ดีแล้ว ยังมีภาวะแทรกซ้อนต่ำ และยังเป็นการผ่าตัดที่สามารถทำได้ด้วยวิธีส่องกล้อง ผู้เข้ารับการรักษาจึงจะมีแค่แผลขนาดเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว อีกทั้งไม่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ให้ต้องกังวล
เมื่อไหร่ควรผ่าตัดกระเพาะ
ผู้ป่วยโรคอ้วนที่ควรผ่าตัดกระเพาะตามเกณฑ์ของสมาคมผ่าตัดโรคอ้วนและเมตาโบลิกแห่งประเทศไทย (Thailand Society for Metabolic & Bariatric Surgery : TSMBS) ได้แก่
- ผู้ที่มี ≥ 37.5 kg/m2
- ผู้ที่มี ≥ 32.5 kg/m2 และมีโรคร่วม
- ผู้ที่มี ≥ 30 kg/m2 และมีโรคร่วมทางเมตาโบลิก หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 บางประเภท
อันตรายไหม ถ้าจะผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก?
โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักจะทำโดยวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว อัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า 1% ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด เช่น มีการรั่ว หรือมีเลือดออกที่รอยตัดของกระเพาะ การตีบตัน อยู่ที่ไม่เกิน 3% ซึ่งสามารถแก้ไขได้
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
1. การผ่าตัดแบบสลีฟ (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy)
เป็นการตัดและเย็บกระเพาะให้เป็นท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ โดยตัดกระเพาะออกไปราว 80% จนเหลือปริมาตรความจุ 150 cc โดยประมาณ หลังการผ่าตัด คนไข้จะทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว ร่างกายจึงดึงเอาไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น ทำให้สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ประมาณร้อยละ 70
ผลการรักษา ผู้ป่วยจะลดน้ำหนักโดยเฉลี่ยได้ถึงร้อยละ 70-80 ของน้ำหนักส่วนเกินภายในช่วงระยะเวลา 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัด และน้ำหนักจะคงที่ต่อเนื่อง หากปฏิบัติตัวได้ดีตามคำแนะนำของแพทย์
2. การผ่าตัดบายพาส (Laparoscopic Roux-en Y Gastric bypass)
เป็นวิธีผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่า โดยทำการตัดกระเพาะให้มีขนาดเล็ก ประมาณ 1-2 ออนซ์ ร่วมกับการนำลำไส้เล็ก ความยาว 180-200 ซม. บายพาสมาต่อกับกระเพาะเพื่อลดการดูดซึม หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะกินอาหารได้น้อยลง ร่างกายลดการดูดซึมอาหารที่ทานเข้าไป ร่วมกับการเผาผลาญไขมันและสารอาหารที่สะสมไว้ได้มากขึ้น น้ำหนักส่วนเกินที่ลดลงจากวิธีผ่าตัดแบบนี้จะอยู่ที่ประมาณ 80% แต่ในระยะยาวอาจต้องได้รับการฉีดวิตามินบางชนิดเสริม เนื่องจากร่างกายดูดซึมวิตามินได้ไม่เพียงพอ
การปฏิบัติตัว ก่อนและหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
ก่อนผ่าตัด
ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะจะต้องตรวจสุขภาพทั่วไป เพื่อเตรียมความพร้อมเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องรับฟังและทำความเข้าใจถึงวิธีการผ่าตัด และการปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังผ่าตัด โดยศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะทำการตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหารเพื่อประเมินและวางแผนการผ่าตัด ทั้งยังต้องตรวจอัลตร้าซาวด์ตับ เพื่อประเมินภาวะไขมันพอกตับ ตับแข็ง และนิ่วในถุงน้ำดี อีกด้วย
หลังผ่าตัด
ผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อยลง จึงต้องรับประทานตามคำแนะนำของทีมแพทย์และพยาบาล เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอ ทั้งนี้การผ่าตัดจะทำด้วยวิธีส่องกล้องที่แผลเล็ก เจ็บน้อย ผู้ป่วยจึงลุกเดินได้เร็ว ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ขา และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 3-4 วันหลังผ่าตัด หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วผู้ป่วยควรเคร่งครัดในการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทีมแพทย์ และกลับมาติดตามผลการรักษาตามนัดหมาย