ข้อมูลแพทย์

พญ.นุชนที เอกโกมลรัตน์

  • สาขา:กุมารเวชศาสตร์
  • อนุสาขา:โรคระบบการหายใจ
  • ภาษา:ไทย อังกฤษ
สาขา
  • 2535 แพทยศาสตร์บัณฑิต ,ศิริราชพยาบาล, มหาวิทยาลัยมหิดล
  • 2539 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญ สาขากุมารเวชศาสตร์
  • 2542 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญ อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคระบบการหายใจ

บทสัมภาษณ์แพทย์

พญ.นุชนที เอกโกมลรัตน์

"หมอจะเน้นการอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจในตัวโรค เข้าใจขั้นตอนการรักษา รวมถึงระยะเวลาการทุเลาลงของแต่ละโรค บางครั้งไม่ได้แค่อธิบายให้แค่พ่อแม่ฟังเท่านั้น เมื่อมีญาติคนอื่นๆ เข้ามาสมทบ เราก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน หมอคิดว่าเมื่อเรามีความรู้และมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทุกคนก็พร้อมจะช่วยกันดูแลเด็กๆ ด้วยความสบายใจมากขึ้น"

หลังจาก พญ.นุชนที เอกโกมลรัตน์ สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต จากคณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แล้ว คุณหมอได้เข้าศึกษาต่อวุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ ที่โรงพยาบาลชลบุรี และยังได้เพิ่มพูนความรู้ความเชี่ยวชาญโดยศึกษาต่อวุฒิบัตรอนุสาขากุมารเวชศาสตร์ โรคระบบการหายใจ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี อีกด้วย คุณหมอได้เล่าถึงแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการศึกษาว่า…

“โดยส่วนตัวหมอมีความรักเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนเป็นนักศึกษาแพทย์หมอก็มีไอดอลเป็นอาจารย์หมอกุมารแพทย์ท่านหนึ่งที่มีความสามารถมาก หมอมีความประทับใจเวลาที่เห็นอาจารย์ได้ช่วยเหลือทารกหรือคนไข้เด็กให้รอดชีวิต จึงอยากจะเป็นหมอเด็กที่เก่งแบบท่านบ้าง”

พอได้มาเป็นกุมารแพทย์แล้ว เดิมทีตั้งใจจะเรียนต่อด้านโรคไตในเด็ก แต่พอได้ไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลรามาธิบดี หมอเห็นว่าโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจก็มีความสำคัญ และอุบัติการณ์คนไข้เด็กด้านนี้ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อม มลพิษ และปัจจัยต่างๆ ประกอบกับช่วงเวลานั้นก็ยังขาดแคลนแพทย์ทางด้านนี้ หมอจึงได้เปลี่ยนมาศึกษาด้านนี้แทน

ดูแลรักษาโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก

ปกติแล้ว คุณหมอนุชนที จะรับหน้าที่ดูแลรักษาคนไข้เด็กที่มาด้วยโรคระบบทางเดินหายใจทั้งในส่วนบนและส่วนล่าง คนไข้ที่มาโรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา ส่วนใหญ่มักมาด้วยปัญหาเกี่ยวกับภูมิแพ้ แพ้อากาศ หอบหืด รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นไข้หวัด ไอเรื้อรัง ส่วนโรคอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการติดเชื้อ ที่พบเรื่อยๆ ก็เช่น ปัญหาการนอนกรน ซึ่งถ้าคนไข้มีอาการค่อนข้างรุนแรง คุณหมอนุชนที ก็จะดูแลคนไข้ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก (ENT) เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน

ขอบเขตในการดูแลคนไข้เด็กนั้น คุณหมอจะดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุราว 14 หรือ 15 ปี และโดยส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาโดยการให้ยาเป็นหลัก แต่อาจจะมีบางกรณีที่ต้องทำหัตถการ เช่น ทำการส่องกล้องในจมูกซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการตรวจวินิจฉัยโรค

รู้ใจเด็ก เข้าใจผู้ปกครอง เพราะคุณหมอก็เป็นคุณแม่เช่นกัน

การดูแลรักษาคนไข้ ย่อมมีบ้างที่เด็กจะงอแง ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจหรือรักษา ซึ่งคุณหมอก็จะอาศัยความใจเย็น มีความเข้าใจ และมีกลยุทธ์ในการรับมือในรูปแบบต่างๆ…

“ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจในตัวเด็กว่า เด็กทุกคนที่มาหาหมอล้วนแต่ไม่สบายมา เพราะฉะนั้นภาวะจิตใจย่อมจะหงุดหงิด ไม่มีความสุข ไม่สบายตัวตามอาการของโรค เมื่อเราเข้าใจสภาวะทางอารมณ์ เข้าใจพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยก็จะสามารถรับมือได้ และด้วยตัวหมอเองก็เป็นคุณแม่ หมอก็จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและปฏิบัติกับคนไข้เปรียบเสมือนลูกหลานของตัวเอง ในส่วนของทีมผู้ช่วยหมอ พยาบาล หรือพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วนอย่างมากในการช่วยทำให้เด็กผ่อนคลายลง และให้ความร่วมมือ อีกอย่างในแผนกของเราก็จะมีการเตรียมของเล่นไว้ให้เด็กๆ ด้วย

ในกรณีที่ผู้ปกครองอาจจะมีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง หมอคิดว่าหมอโชคดีที่ตัวหมอเองก็เป็นคุณแม่ เลยเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นอย่างดีว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเวลาบุตรหลานไม่สบาย หมอจะเน้นการอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจในตัวโรค เข้าใจขั้นตอนการรักษา รวมถึงระยะเวลาการทุเลาลงของแต่ละโรค บางครั้งไม่ได้แค่อธิบายให้แค่พ่อแม่ฟังเท่านั้น เมื่อมีญาติคนอื่นๆ เข้ามาสมทบ เราก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน หมอคิดว่าเมื่อเรามีความรู้และมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทุกคนก็พร้อมจะช่วยกันดูแลเด็กๆ ด้วยความสบายใจมากขึ้น”

การดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยความไม่ประมาทคือสิ่งสำคัญ

หลายโรคที่รุนแรง หากคนไข้ไม่ได้รับการดูแลที่ดี ก็อาจจะเสียชีวิตได้ อย่างกรณีโรคไข้เลือดออกซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่คนไข้มีโอกาสเสียชีวิต แม้ตามสถิติจะไม่มากนัก แต่การเอาใจใส่ดูแลและการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจะช่วยให้เด็กๆ ไม่ต้องเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้…

“โรคไข้เลือดออก โดยปกติโรคนี้ถ้าเราเฝ้าติดตามรักษาดูแลดีๆ เด็กส่วนใหญ่ก็จะหายได้ ไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะวิกฤต แต่บางครั้งก็จะมีกรณีที่มีอาการอื่นๆ แปลกแยกออกมา ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย

หมอขอยกตัวอย่างคนไข้เด็กรายหนึ่งที่หมอเคยรักษา คือคนไข้รายนี้หมอพบว่ามีคนไข้เข้าสู่ภาวะมีการรั่วของน้ำเลือดแล้วการติดตามความเข้มข้นของเลือดควรจะสูงขึ้นแต่คนไข้กลับมีความเข้มข้นที่คล้ายที่คล้ายๆ เดิมแต่ชีพจรเร็วขึ้นมากผิดปกติ หมอดูจากอาการแล้วน่าจะมีอะไรผิดปกติ หมอจึงเฝ้าสังเกตและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจนพบสาเหตุ เมื่อพบสาเหตุก็สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีจนคนไข้ปลอดภัยและหายดีในที่สุด ซึ่งหากเราไม่เฝ้าระวังหรือติดตามอาการอย่างใกล้ชิด คนไข้อาจเกิดภาวะช็อกและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”

ข้อมูลสุขภาพ

แพทย์ผู้เกี่ยวข้อง